วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Rosalind Franklin คือใคร พร้อมประวัติและผลงานของ Rosalind Franklin

คุณรู้จัก DNA ไหมครับ? วันนี้ผมจะพาคุณไปรู้จักกับ Rosalind Franklin คุณอาจจะสงสัยว่าเธอคือใคร และเกี่ยวอะไรกับ DNA เราจะพาไปหาคำตอบกันนะครับ

Rosalind Franklin คือใคร?
เธอมีชื่อเต็มว่า Rosalind Elsie Franklin (ชื่อไทย : โรซาลินด์ เอลซี แฟรงคลิน) นักวิจัยสาวสวยบุคลิกเย็นชา โดยเธอเป็นนักเคมีและผลึกวิทยาชาวอังกฤษผู้มีบทบาทสำคัญในการค้นพบดีเอ็นเอ ตลอดจนศึกษาโครงสร้างของ อาร์เอ็นเอ และไวรัส เธอเชื่อว่าการไขปริศนาโครงสร้างของดีเอ็นเอ ก็คือการได้ภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์ ที่มีคุณภาพดีที่สุด มีความคมชัดที่สุดเท่านั้น เธอจึงมุ่งมั่นที่จะถ่ายภาพเอกซเรย์โครงสร้าง DNA ให้ได้
วันที่ 25 กรกฎาคมนี้ เป็นวันครบรอบวันเกิด 96 ปีของเธอครับ

ประวัติของ Rosalind Franklin
โรซาลินด์ เกิดเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2463 เมื่ออายุได้ 18 ปี โรซาลินด์เข้าศึกษาที่วิทยาลัยนิวน์แฮม (Newnham College) อันเป็นสถาบันสมทบของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ โดยเลือกศึกษาในหลักสูตรศิลปศาสตร์สาขาวิชาเคมี สี่ปีให้หลังจากนั้น เธอได้รับปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับสอง ซึ่งก็ทำให้สามารถเริ่มชีวิตในฐานะนักวิจัย
เธอเสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 เมษายน ในปี พ.ศ. 2501 จากโรคมะเร็งรังไข่ ผลมาจากการทำงานในสถานที่ที่มีรังสีเอกซ์อยู่มาก ทำให้เธอต้องถึงแก่กรรมก่อนวัยอันควร โดยมีอายุรวมได้ 37 ปี 9 เดือน
ผลงานเด่นของ Rosalind Franklin
Photo_51_x-ray_diffraction_image
ผลงานที่รู้จักกันดีของโรซาลินด์ แฟรงคลิน คือ โฟโต 51 หรือภาพถ่ายจากการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ของดีเอ็นเอ ซึ่งนำไปสู่การค้นพบโครงสร้างเกลียวคู่ของดีเอ็นเอ
แต่ปัญหาเกิดขึ้น เมื่อ เจมส์ วัตสัน และฟรานซิส คริก แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้นำข้อมูลของเธอไปใช้ โดยที่เธอไม่ได้รับการขออนุญาตในการนำไปใช้สร้างแบบจำลองซึ่งในการตั้งสมมติฐานว่าด้วยโครงสร้างของดีเอ็นเอโฟโต 51 ได้ให้รายละเอียดยืนยันว่าดีเอ็นเอมีโครงสร้างเป็นรูปเกลียวอย่างชัดเจน
จากเหตุการณ์นี้ ทำให้บทบาทของเธอในการค้นพบดีเอ็นเอถูกมองข้ามไป และมีผลต่อเนื่องทำให้ โรซาลินด์ แฟรงคลิน ไม่เคยได้รับเสนอชื่อให้ได้รับรางวัลโนเบล เนื่องจากข้อบังคับการให้รางวัลได้ห้ามการเสนอชื่อผู้ทำผลงานที่สิ้นชีวิตแล้ว (เธอเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2501) เพื่อนร่วมงานของเธอ ฟรานซิส คริก, เจมส์ วัตสัน และมอริส วิลคินส์ ซึ่งรับช่วงงานต่อ จึงได้รับรางวัลแทนเมื่อปี พ.ศ. 2505 ในฐานะการค้นพบกรดนิวคลีอิกและดีออกซีไรโบนิวคลีอิก

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

UFO ตกที่รอสเวลล์ (Roswell UFO incident)

วันที่ 8 กรกฎาคมนี้เป็นวันครบรอบ 66 ปีของเหตุการณ์เกี่ยวกับ UFO และมนุษย์ต่างดาวที่ถือได้ว่า เป็นเคสที่โด่งดังที่สุดอันหนึ่งของโลก นั่นก็คือ "รายงานเหตุการณ์ UFO ตกที่รอสเวลล์" (Roswell UFO incident) วันนี้มานาคอมพิวเตอร์เลยอยากจะขอเอาเรื่องล้ำๆ (ในอดีต)มาเล่าให้ฟังกันนะครับ

เริ่มต้นเหตุการณ์ช็อคโลก

ในวันที่ 8 กรกฎาคม 1947 เรืออากาศโทวอลเตอร์ โฮท ซึ่งเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกองทัพอากาศแห่งสหรัฐเมืองรอสเวลล์ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า กองทัพได้ครอบครองจานบินลำหนึ่ง ซึ่งตกลงมายังพื้นโลกเมื่อคืนวันที่ 4 กรกฎาคม 1947 โดยได้ทำการเปิดเผยว่า ฝูงบินทิ้งระเบิดที่ 509 หน่วยที่ 8 ของกองทัพอากาศสหรัฐประจำจุดรอสเวลล์ ได้ยึดครองจานบินลำหนึ่งได้ที่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โดยความร่วมมือของนายอำเภอที่รอสเวลล์ และเจ้าของฟาร์มแห่งนั้นก็คือแม๊ค บราเซล

 แม๊ค บราเซลได้เล่าให้ฟังว่า หลังเที่ยงคืนเล็กน้อย วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1947 ตนได้เห็นปรากฎการณ์ประหลาดบนท้องฟ้าในคืนที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง มีฟ้าผ่า ในแสงวูบวาบ เขาเห็นยานทรงกลมสีเทาน้ำเงิน ถูกฟ้าผ่าแตกเป็นเสี่ยง แล้วแฉลบร่อนลงท้ายไร่พร้อมกับเสียงดังสนั่น แต่เนื่องจากความกลัว เขาไม่กล้าออกมาดู พอถึงตอนเช้าตรู่ของวันที่ 5 กรกฎาคม 1947 จึงได้เดินทางไปดูในจุดที่คาดว่า น่าจะเป็นจุดเกิดเหตุเมื่อคืน เมื่อไปถึงก็ได้พบว่ามีเศษโลหะกระจัดกระจายเกลื่อนกลาด ดูราวกับมีบางสิ่งบางอย่างขนาดใหญ่มาก ตกลงมาจากท้องฟ้า สังเกตุได้ว่า เศษเหล็กหรือเศษโลหะกระจายเป็นอาณาบริเวณกว้างประมาณ 300 ฟุต และยาวราว 3 ไมล์ ชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายนั้น มีทั้งเป็นลวด เป็นชิ้นเล็ก ๆ และเป็นแผ่นโลหะเบาและบาง แต่เหนียว ทนทานมาก สามารถพับไปมาได้รายแผ่นกระกาษนอกจากนั้น ยังเศษโลหะคล้ายกระดาษฟอยล์สีตะกั่วกระจายไปทั่ว 

ซึ่งตัวแม็คเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันคืออะไร เขาได้หยิบเศษโลหะสามชิ้นไปให้เพื่อนบ้านที่ไกลออกไป10 ไมล์ได้ดู เพื่อนบ้านแนะนำว่าให้ไปหานายอำเภอจอร์จ เอ. วิลค๊อกซ์และเอาเจ้าสิ่งนี้ให้นายอำเภอดูด้วย ตอนแรก นายอำเภอไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก ได้แนะนำให้แม็คโทรศัพท์ติดต่อกองบินทหารอากาศรอสเวลล์และเมื่อแม๊คทำตามไม่นาน กองบินทหารได้ส่งทหารอากาศสองนายและพลเรือนนายหนึ่ง ซึ่งบอกกับแม๊คว่า เป็นสมาชิกหน่วยต่อต้านข่าวกรองของกองทัพนายทหารที่มานั้นต่อมาทราบชื่อว่า นาวาอากาศตรี เจสส์ เอ.มาร์เซล อีกคนหนึ่งคือ นาวาเอกวิลเลี่ยม บลันชาร์ด ซึ่งเป็นผู้บังชาการฝูงบินที่ 509 นั่นเอง

เมื่อแม๊คได้พาทุกคนไปยังจุดที่จานบินตก ทุกคนก็ตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น นาวาอากาศตรีมาร์เซล ได้กล่าวว่า เศษโลหะและวัตถุดังกล่าว มันประหลาดมาก ส่วนใหญ่จะบางเท่ากระดาษหนังสือพิมพ์แต่เหนียว ทนทานมาก เขาใช้ค้อนทุบ ใช้ไฟเผา หักงอ เพียงครู่เดียวกันก็กลับคืนสู่สภาพเดิม และทุกคนก็ช่วยกันเก็บเศษโลหะดังกล่าวใส่รถจี๊บและลำเลียงไปยังใจกลางเมืองรอสเวลล์ แต่ต่อมา กลับปรากฎว่า กองทัพอากาศสหรัฐและนาวาอากาศตรีเจสส์ มาร์เซล ออกข่าวว่า เศษโลหะดังกล่าวเป็นเพียงเศษซากบอลลูนตรวจอากาศที่ตกลงมาเท่านั้น  และทางพลอากาศจัตวางโรเจอร์ เรมีย์ ได้ปฎิเสธช่าวว่า ไม่มีการลำเลียงเศษซากจานบินออกมาจากพื้นที่แต่ประกาศใด

แต่หลังจากการเปิดเผยของนาวอากาศตรีเจสส์ มาร์เซลเมื่อไม่นานมานี้เปิดเผยว่า มีการลำเลียงเศษซากจานบินไปทางเครื่องบิน และมีพยานหลายคนที่รู้เห็น เช่น สแตนตัน ฟรีดแมน ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์และนิวเคลียร์ซึ่งพลอากาศจัตวาโรเจอร์ เรมีย์ สั่งให้ทุกคนปิดปากเงียบ นาวาอากาศตรี เจสส์ มาร์เซล ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อไม่กี่ปีมานี่ว่า ทุกอย่างที่กองทัพอากาศสหรัฐออกแถลงการว่าที่เห็นเป็นเพียงซากบอลลูนนั้น เป็นการสร้างละครลวงตาสื่อมวลชนทั้งสิ้น โดยมาร์เซลกล่าวว่า ซากกระจัดกระจายมีขนาดใหญ่กว้างมาก ซึ่งมากกว่าที่จะเป็นซากบัลลูนตกหลายเท่า จากการเปิดเผยของนาวาอากาศตรี เจสส์ มาร์เซล ทำให้องค์การต่าง ๆ รวมทั้งนักค้นคว้าจานบิน เห็นสมควรว่า น่าจะมีการรื้อฟื้นสอบสวนเรื่องจานบินตกที่รอสเวลล์ เมื่อปี 1947 ใหม่ เพราะหลายคนเชื่อว่า มีจานบินตกจริงที่ฟาร์มของ แม๊ค บราเซล
 
 ลำดับเหตุการณ์ที่น่าสนใจของเหตุการณ์ที่รอสเวลล์ 

กรกฎาคม 1947 - มีจานบินปรากฎเหนือน่านฟ้านิวเม็กซิโก มีการติดตามด้วยเรดาร์ที่ศูนย์เรดาร์ในรอสเวลล์ที่ไวท์แซนด์ และอาลาโมกอร์โด จานบินดังกล่าวบินเร็วมาก ซึ่งยืนยันได้ว่า ขณะนั้นไม่มีเครื่องบินต่าง ๆ ในบริเวณนั้นแต่อย่างใด

 4 กรกฎาคม 1947 - กลางคืน ประมาณ 4-5 ทุ่มมีฝนฟ้าคะนอง มีพยานหลายคนพบเห็นลูกไฟตกลงมาจากท้องฟ้า ศูนย์เรดาร์สามารถจับวัตถุบินประหลาดได้และร่วงลงจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

 5 กรกฏาคม 1947 - แม็ค บราเซลกับลูกชายชื่อวิลเลี่ยม ดี. พร็อคเตอร์ ได้ขี่ม้าออกสำรวจฟาร์มปศุสัตว์ และพบเห็นซากโลหะประหลาดตกลงมาในไร่ กระจัดกระจายเป็นบริเวณกว้าง

 6-7 กรกฎาคม 1947 - กองทัพอากาศของสหรัฐประจำรอสเวลล์ ก็มาถึงรวมถึงนาวาอากาศตรีเจสส์ มาร์เซลด้วย มีการขึงเชือกกันบริเวณไม่ให้ใครเข้าใกล้ กล่าวกันว่าเพียงสองชั่วโมง ทหารก็เก็บซากโลหะประหลาดออกไปและที่สำคัญ มีพยานเห็นทหารนำศพมนุษย์ประหลาดออกจากซากจานบินตกด้วย และทุกอย่างก็ถูกปกปิดเป็นความลับสุดยอด

 8 กรกฎาคม 1947
  • นาวาเอกวิลเลี่ยม บลันชาร์ด เมื่อทราบข่าว ได้สั่งให้วางกำลังรายล้อมคอกปศุสัตว์โดยด่วน
  • แม๊ค บราเซล ถูกสอบหนัก พร้อมทั้งถูกข่มชู่จากนายทหาร
  • บ่าย 2 โมง สำนักข่าวเอพี รายงานข่าวด่วนว่า กองทัพอากาศสหรัฐพบจานบินตกที่รอสเวลล์
  • ทั่วโลกเริ่มประโคมข่าว
  • นาวาอากาศตรี อี เอ็ม เคอร์ตัน ให้ออกข่าวว่า ซากที่พบเป็นเพียงซากบัลลูนตรวจอากาศ
  • ทั้งพลอากาศจัตวาโรเจอร์ เรมีย์ และ เจสส์ มาร์เซล ออกข่าวและถ่ายภาพกับซากประปลาด และกล่าวว่า ซากดังกล่าวตรวจสอบแล้วเป็นซากบอลลูนตรวจอากาศเท่านั้น
  • แม๊ค บราเซล ยังคงถูกคุมตัวในเมืองรอสเวลล์
  • เกลนน์ เดนนิส สัปเร่อ ในรอสเวลล์ ได้ถูกนายทหารนายหนึ่งโทรศัพท์สอบถามถึงการเตรียม โลงศพขนาดเล็ก และการรักษาศพโดยไม่ต้องเปลี่ยนน้ำยาเคมี เกลนน์ เล่าว่าทีแรกนึกว่าบุคคลสำคัญ เสียชีวิต แต่ยังไม่อยากเปิดเผย
9 กรกฎาคม 1947 - พยาบาลนางหนึ่งในโรงพยาบาลกองบิน บอกกับเกลนน์ เดนนิสว่า หล่อนเห็นศพมนุษย์ต่างดาว และเขียนภาพให้เกลนน์ดูด้วย


11 กรกฎาคม 1947 - เกลนน์ เดนนิส โทรศัพท์ไปหาเพื่อนพยาบาลคนเดิมเพื่อซักถามบางประการ ปรากฎว่า ทางโรงพยาบาลบอกว่า เธอย้ายออกจากโรงพยาบาล และไม่มีใครรู้ว่าไปอยู่ที่ใด

15 กรกฎาคม 1947 - แม็ก บราเซลกลับบ้าน 

ปลายเดือน กรกฎาคม 1947 -  แม็ค บราเซล เปิดเผยเหตุการณ์จานบินตกที่รอสเวลล์อย่างเปิดอกและกล่าวว่า ตนถูกกองทัพข่มขู่อยางขมขื่นมาก 

กันยายน 1947 - นางพยาบาลเพื่อนของ เกลนน์ เดนนิส ถูกฆ่าตายปริศนาที่กรุงลอนตอน ประเทศอังกฤษ 

ปี 1969  - จ่าอากาศเมลวิน อี. บราวน์ เปิดเผยว่า ตนเป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยปกปิดความลับที่รอสเวลล์ และยังเป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยนำศพมนุษย์ต่างดาวไปยังโรงพยาบาลที่รอสเวลล์ 

ปี 1978 - เจสส์ มาร์เซลและอีกหลายคนออกมาเปิดเผยความจริงว่า ซากดังกล่าวไม่ใช่บัลลูนแน่นอน

 ปี 1980 - ชาร์ลส์ เบอร์ลิตช์ และ ลิลเลี่ยม แอล.มัว ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ The Roswell Incident โด่งดังไปทั่วโลก 

ปี 1989 - ศูนย์ค้นคว้าวิจัยจานบิน ของ ดร.เจ อัลเลน ไฮเน็ค ส่งเจ้าหน้าที่ออกสำรวจบริเวณที่พบซากจานบิน 

ปี 1991 - เอวอน บุ๊ค สำเสนอเรื่อง จานบินตกที่รอสเวลล์ เผยแพร่ไปทั่วโลก โดยรวบรวม พยานกว่า 300 คนในสมัยนั้นมาเปิดเผย ทำให้เป็นที่สนใจทั่วโลก

เรื่องลึกลับที่ยิ่งลึกลับยิ่งขึ้น!!

 เรื่องราวกลับประหลาดยิ่งขึ้นเมื่อชายคนหนึ่ง ชื่อเกรดีย์ แอล บาร์นีย์ บาร์เนตต์ ได้กล่าวอ้างว่าเขาได้พบซากเศษโลหะของจานบินอีกลำหนึ่ง ขณะนั้นเขากำลังทำงานอยู่ในบริเวณใกล้ที่ราบซานอกุสติน ซึ่งชาวบ้านในแถบนั้น เรียกว่า "ที่ราบไร้วิญญาณ" เป็นที่น่าสังเกตว่า บริเวณดังกล่าวนี้ห่างจากไร่ปศุสัตว์ของแม็ค ประมาณ 120 ไมล์ ไม่เพียงแต่บาร์เนตต์เท่านั้นที่พบเห็นจานบิน บังเอิญนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งขับรถผ่านมาพอดี ซึ่งบาร์เนตก็ลืมถามว่าพวกเขามาจากมหาวิทยาลัยใด สิ่งสำคัญก็คือ พวกเขาได้เห็นศพมนุษย์ประหลาดนอนตายอยู่รอบ ๆ จานบินด้วย

ต่อมาบาร์เนตต์ได้อธิบายว่า ศพมนุษย์ประหลาดนั้นรูปร่างคล้ายสัตว์ตัวเล็ก แต่มีศีรษะใหญ่คล้ายรูปผลแพร์ แขนและขาผอมมาก และที่น่าสังเกตุก็คือไม่มีขน ศพทั้งหมดสวมชุดคล้ายเกราะเหล็กสีเทา ได้สัดส่วนพอเหมาะ เป็นชุดที่ไม่มีกระดุมและซิป

ต่อมาทหารก็มาถึง พวกเขาสั่งให้บาร์เตต์และกลุ่มนักโบราณคดีถอยห่างออกไปจากยานบินลำนั้น และนายทหารที่เป็นหัวหน้าได้กำชับว่ามันเป็นหน้าที่ที่ทหารต้องรับผิดชอบ และห้ามทุกคนนำเรื่องที่พบเห็นไปบอกใครเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะเดือนร้อน ให้ลืมเรื่องดังกล่าวให้หมด บาร์เนตต์จึงจำเป็นต้องปกปิดเรื่องที่พบเห็นเป็นความลับไม่แพร่งพรายให้ใครรู้แม้แต่ภรรยา ญาติมิตร หรือแม้กระทั่งผู้บังคับบัญชา 

ในปี 1978 นักค้นคว้าจานบินหลายคนลงความเห็นว่า ซากโลหะประหลาดที่แม็ค บราเซลพบมีความเกี่ยวพันกับยานอวกาศและศพมนุษย์ต่างพิภพที่บาร์เนตต์พบอีกแห่งหนึ่งแน่นอน ซึ่งเขาได้สันนิษฐานว่ายานตกลงมาต่างหาก ส่วนมนุษย์ต่างดาวคงดีดตัวออกมาจากตัวยานก่อนจะลงมาถึงพื้นโลก หรืออาจเสียชีวิตเนื่องจากหนีออกจากห้องที่แยกออกจากตัวยานไม่สำเร็จ และบริเวณที่ยานลำนั้นตกลงมาคงอยู่ใกล้ที่ราบซานอกุสติน สตริงฟิลด์ยังได้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับการปิดข่าวเกี่ยวกับศพมนุษย์ต่างดาวอีก นั่นคือ นอร์มา การ์ดเนอร์ ซึ่งเคยทำงานเป็นพนักงานพิมพ์ดีดกับฝ่ายแลกเปลี่ยนเอกสารลับสุดยอดที่กองบินทหารอากาศไรท์ แพตเตอร์สัน หน้าที่ที่เธอได้รับมอบหมายอย่างหนึ่งคือ พิมพ์รายงานชันสูตรศพมนุษย์ต่างดาวรายหนึ่ง นั่นก็แสดงว่ามีการพบศพมนุษย์ต่างดาวจริง แต่ก็น่าคิดว่าเพราะเหตุใดฝ่ายทหารจึงปกปิดเป็นความลับ

 การผ่าตัดมนุษย์ต่างดาว!!

ใน ปี 1992 ผู้สร้างภาพยนต์เรย์ ซานติลี อ้างว่าได้ซื้อฟิล์มภาพยนต์ขนาด 16 มิลลิเมตร มีความยาวกว่า 91 นาที(ไม่เปิดเผยถึงราคาที่ซื้อมา) เป็น ฟิล์มภาพยนต์ที่เกี่ยวกับการผ่าตัดซากมนุษย์ต่างดาวหลังเหตุการณ์การตกที่รอสเวลส์โดยซื้อมาจากช่างภาพของกองทัพ(ไม่เปิดเผยชื่อ)ที่ถูก มอบหมายให้ทำการถ่ายภาพยนต์การผ่าศพมนุษย์ต่างดาวที่ Fort Worth, Texas เพื่อทำการถ่ายภาพยนตร์ จนกระทั่งในปี 1995 ภาพยนต์ชุดนี้ได้ถูกนำมาออกแสดง และเครือข่ายทีวีของ FOX นำภาพยนตร์ชุด นี้ออกอากาศในรายการ One-hour special ผลปรากฏว่ามีคนสนใจดูมากจนต้องมีการนำมาออกอากาศซ้ำอีกถึงสี่ครั้งหลังจากนั้นทำให้มีการถ่ายถอดออกไปใน อังกฤษ , เยอรมัน ,ฮอลแลนด์ , บราซิล และอิตาลี เราลองมาดูคลิปนี้ด้วยกันนะครับ

  
เป็นอย่างไรบ้างครับ สนุกตื่นเต้นกันดีไหมครับ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีการยืนยันได้สักทีว่า "มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่?"

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ฟรานซ์ คาฟกา (Franz Kafka) คือ นักเขียนนิยายชื่อดัง


หลายคนอาจจะสงสัยว่า ฟรานซ์ คาฟกา (Franz Kafka) เป็นใคร มีผลงานอะไรที่น่าสนใจ วันนี้จะขอนำเอาข้อมูลที่น่าสนใจของบุคคลท่านนี้มานำเสนอนะครับ

Franz Kafka คือใคร?

ฟรานซ์ คาฟกา (Franz Kafka) คือนักเขียนนิยายชาวเช็ก ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 20 ผลงานเรื่องสั้นที่สำคัญได้แก่ “กลาย” (Metamorphosis) ซึ่งเป็นเรื่องสั้นที่เกี่ยวกับชายหนุ่มที่วันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วเขากลายเป็นแมลงสาป และ “The Trial" ,“The Castle” , “In the Penal Colony” และ “Amerika” ซึ่งงานเขียนของเขาถือได้ว่ามีอิทธิพลต่องานวรรณกรรมตะวันตกมากที่สุด โดยวันที่ 3 กรกฎาคมปีนี้จะเป็นวันครบรอบวันเกิด 130 ปีของเขาครับ



ประวัติของ Franz Kafka 

เกิดวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2426 เป็นบุตรชายคนเดียวของพ่อค้าชาวยิว ที่กรุงปราก (Prague) เมืองหลวงแห่งแคว้นโบฮีเมีย (Bohemia) ปัจจุบันคือประเทศเช็ก ในด้านการศึกษา คาฟคาเรียนภาษาเยอรมันเป็นภาษาเอก แต่ก็สามารถพูดภาษาเช็กได้อย่างคล่องแคล่ว ด้วยความที่บิดาต้องการได้รับการยอมรับและเชิดหน้าชูตาในสังคม จึงส่งคาฟกาเข้าเรียนในโรงเรียนของเยอรมนีจนถึงระดับมหาวิทยาลัย เนื่องจากภาษาเยอรมันเป็นภาษาของชนชั้นปกครองในขณะนั้น ในตอนแรกคาฟกาเลือกเรียนวิชาเยอรมันศึกษา แต่แล้วต้องเปลี่ยนไปเรียนวิชากฎหมายเพราะบิดาบังคับ เขาจบปริญญาเอกด้านกฎหมายเมื่อปีค.ศ. 1906 ได้ฝึกงานด้านกฎหมายอยู่หนึ่งปี หลังจากนั้นจึงเข้าทำงานที่สำนักงานประกัยภัยอุบัติเหตุของผู้ใช้แรงงานจนถึงปี 2465 

เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ปีค.ศ 1924 เมื่ออายุ 40 ปี ด้วยเหตุจากวัณโรคปอด ที่ประเทศออสเตรีย โดยก่อนตายเขาได้ฝากให้เพื่อนสนิทคือ มักซ์ โบรด (Max Brod) ทำลายต้นฉบับทิ้งให้หมด แต่โบรดก็มิได้ทำตามทำขอของเขา และได้นำต้นฉบับของคาฟกามาจัดพิมพ์เผยแพร่จนปรากฏถึงปัจจุบัน

ผลงานที่น่าสนใจของ Franz Kafka 

เนื่องจากคาฟกามักจะใช้ลักษณะพิเศษของภาษาเยอรมัน ทำให้การแปลงานของเขาสามารถทำได้เพียงบางส่วน ประกอบกับลักษณะงานเขียนของเขาจะออกแนวมืดมน ลึกลับ คลุมเครือ ไม่สื่อความหมายอย่างใดอย่างเด่นชัด โดยได้ถ่ายทอดความน่าสะพรึงกลัวในสังคมสมัยใหม่ ผ่านตัวละครที่มีชีวิตโดดเดี่ยว แปลกแยก ทุกข์ทรมาน และเป็นเหยื่อของเหตุการณ์เหนือจริงคล้ายฝันร้าย ด้วยเหตุนี้งานของคาฟกาจึงมีมนต์ขลังให้นักอ่านและนักวิจารณ์รุ่นใหม่ ๆ นำมาตีความและถกเถียงเรื่อยมาจนปัจจุบัน



ผลงานประเภทนวนิยาย
  • The Trial (1925)
  • The Castle (1926)
  • America (1927)
ผลงานประเภทเรื่องสั้น
  • The Judgement (1913)
  • Meditation (1913)
  • In the Penal Colony (1914)
  • The Metamorphosis (1915)
  • A Country Doctor (1916)
  • A Report to an Academy (1919)
  • Letters to His Father (1919)
  • The Burrow(1923)
  • Josepine the Singer, or the Mouse Folk (1924)
  • A Hunger Artist (1924)
  • The Giant Mole (1931)
  • The Great Wall of China (1933)
  • Investigations of a Dog (1933)
  • Before the Law (1933)
  • Blumfield, an Elderly Bachelor (1933)
  • Description of a Struggle (1936)
  • The Diaries of Franz Kafka 1910-23 (1951)
  • Letters to Milena (1952)
  • Letters 1902-24 (1958) (ed. by M. Brod)
  • Letters to Felice (1967)
  • Letters to Ottla and the Family (1974)
  • Letters to Friends, Family and Editors (1977)